สมุนไพรประเภท ไม้ล้มลุก
กระชาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
ชื่อสามัญ : Kaempfer
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : กระชายดำ กะแอน ขิงทราย (มหาสารคาม) จี๊ปู ซีฟู เปาซอเร๊าะ เป๊าสี่ระแอน (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ละแอน (ภาคเหนือ) ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ)
ลักษณะทั่วไป
- ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีความสูงประมาณ 9 ซม. ส่วนกลางของลำต้นเป็นแกนแข็ง มีกาบหรือโคนใบหุ้ม
- ใบ : มีกลิ่นหอม ก้านใบแทงขึ้นจากหัวในดิน ออกเป็นรัศมีติดผิว ขนาดใบจะกว้าง 7-9 ซม. ยาว 30-35 ซม.
- ดอก : มีสีม่วงดอกออกเป็นช่อ กลีบรองกลีบดอกเชื่อมต่อกัน มีรูปลักษณะเป็นท่อ มีขน โคนเชื่อมติดกันเป็นช่อยาว เกสรตัวผู้จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลาย ท่อเกสรตัวเมียขนาดยาว เล็ก ยอดของมันเป็นรูปปากแตร เกลี้ยงไม่มีขน
- การขยายพันธุ์ : จะใช้ส่วนที่เป็นเหง้าหรือหัวในดิน ปลูกได้ดีในดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ดินเหนียว ดินลูกรังไม่เหมาะที่จะปลูก
- เหง้าใต้ดิน : มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
- เหง้าและราก : แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ใช้เป็นยาภายนอกรักษาขี้กลาก
- ใบ : บำรุงธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ
กระวาน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Elettaria cardamomum, Maton.
ชื่อสามัญ : cardamom
ชื่ออื่นๆ : กะวาน กระวานเทศ
ชื่อวงศ์ : ZINGIBFERACEAE
ลักษณะทั่วไป
- ต้น: ลักษณะต้นแบน มีความสูงประมาณ 1.75-3.60 เมตร
- ใบ : ใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบกว้างประมาณ 2.5-12.5 ซม. และมีความยาวประมาณ 29-75 ซม.
- ดอก : ออกเป็นช่อ มีสีขาวแกมเขียว ก้านช่อนั้นจะผุดออกมาจากลำต้นที่ติดอยู่กับดิน
- ผล : มีลักษณะเป็นรูปรี กลมเกลี้ยง และเป็นกลีบที่ประกบติดกันแน่นอยู่ 3 กลีบ ผลของมันยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว และหนาประมาณ 0.2 นิ้ว ในผลนั้นจะมีเมล็ด ซึ่งจะเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อเยื่อใส หุ้มอยู่ มีกลิ่นหอม รสชาดเผ็ดร้อนและในแต่ละผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 10 เมล็ด
- ใบ : เป็นยากระตุ้น หรือขับลมให้ลงสู่เบื้องล่าง แก้ไข้เชื่อมซึม ลดไข้
- ผล (เมล็ด) : ในเมล็ดจะมีน้ำมันหอมระเหย ประมาณ 3-6 % ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ กระจายโลหิต กระจายเสมหะ ขับลมผาย ขับลมและใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหารด้วย
- หัวหน่อ : เป็นยาขับพยาธิ ในเนื้อเยื่อให้ออกมาทางด้านผิวหนัง
- ราก : ขับเลือด ที่เน่าเสียให้ลงสู่เบื้องล่าง
ข่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga (L.) Willd.
ชื่อสามัญ : Galanga
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) , กฏุกกโรหินี (ภาคกลาง)
ลักษณะทั่วไป
- ต้น : ไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตร
- ราก : เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน
- ใบ : ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม.
- ดอก : ดอกช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ที่สุดมีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่
- ผล : เป็นผลแห้งแตกได้ รูปกลม
- เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
- แก้อาหารเป็นพิษ
- เป็นยาแก้ลมพิษ
- เป็นยารักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ติดเขื้อแบคทีเรีย เชื้อรา
ฟ้าทะลายโจร
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees
ชื่อสามัญ : Kariyat , The Creat
วงศ์ : ACANTHACEAE
ชื่ออื่น : หญ้ากันงู (สงขลา) น้ำลายพังพอน ฟ้าละลายโจร (กรุงเทพฯ) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลุม สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง)
ลักษณะทั่วไป
- ลำต้น : ไม้ล้มลุก สูง 30-70 ซม. ทุกส่วนมีรสขม กิ่งเป็นใบสี่เหลี่ยม
- ใบ : เดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน
- ดอก : ช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสีขาว โคนกลีบติดกัน ปลายแยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ มีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่ ปากล่างมี 2 กลีบ
- ผล : เป็นฝัก เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาล แตกได้ ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร
ทุกส่วนของฟ้าทะลายโจรมีรสขม จึงมีคุณสมบัติเป็นยาได้ดี
- แก้ไข้ทั่วไป เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับรองว่า ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ผู้ที่เป็นหวัด หรือร้อนในบ่อยๆ หากรับประทานฟ้าทะลายโจร จะสามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น จึงไม่เป็นหวัดง่าย อาการร้อนในจะหายไป
- ระงับอาการอักเสบ เช่น อาการไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิล หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ รักษาโรคผิวหนังฝี ฯลฯ
- แก้อาการติดเชื้อ เช่น ท้องเสีย กระเพาะ หรือลำไส้อักเสบ
- เป็นยาขม ช่วยให้เจริญอาหาร
ว่านหางจระเข้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe vera (L.) Burm.f.
ชื่อสามัญ : Star cactus, Aloe, Aloin, Jafferabad, Barbados
วงศ์ : Asphodelaceae
ชื่ออื่น : หางตะเข้ (ภาคกลาง) ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ)
ลักษณะทั่วไป
- ลำต้น : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น
- ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน แผ่นใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน
- ดอก : ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร
- ผล : เป็นผบแห้งรูปกระสวย
สรรพคุณ
- ใบ : รสเย็น ตำผสมสุรา พอกฝี
- ทั้งต้น : รสเย็น ดองสุราดื่มขับน้ำคาวปลา
- ราก : รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน แก้มุตกิด
- ยางในใบ : เป็นยาระบาย
- น้ำวุ้นจากใบ : ล้างด้วยน้ำสะอาด ฝานบางๆ รักษาแผลสดภายนอก น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำให้แผลเป็นจางลง ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันและรักษาอาการไหม้จากแสงแดด ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น
- เนื้อวุ้น : เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร
- เหง้า : ต้มรับประทานแก้หนองใน โรคมุตกิด
ขมิ้นขัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma longa L.
ชื่อสามัญ : Turmaric
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น (ภาคใต้)
ลักษณะทั่วไป
- ลำต้น : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-90 ซม.
- เหง้า : เหง้าใต้ดินรูปไข่มีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ตรงกันข้ามเนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะ
- ใบ : เดี่ยว แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม.
- ดอก : ช่อ แทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก
- ผล : รูปกลมมี 3 พู
สรรพคุณ
- เป็นยาภายใน
– แก้ท้องร่วง
– แก้โรคกระเพาะ
- เป็นยาภายนอก
– ยารักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน
ตะไคร้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citrates (DC. Ex Nees) Stapf.
ชื่อสามัญ : Lemon Grass, Lapine
วงศ์ : GRAMINAE
ชื่ออื่น ๆ : คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), จะไคร(เหนือ), เชิดเกรย, เหลอะเกรย (เขมร-สุรินทร์), ไคร(ใต้)
ลักษณะทั่วไป
- ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก จะขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นรูป ทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง และตามปล้องมักมีไขปกคลุมอยู่ เป็นพรรณไม้ที่มีอายุหลายปี
- ใบ : ใบเดี่ยว แตกใบออกเป็นกอ รูปขอบขนาน ปลายใบแหลม และผิวใบจะสากมือทั้งสองด้าน เส้นกลางใบแข็ง ขอบใบจะมีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย มีสีเขียวกว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2-3 ฟุต
- ดอก : ออกเป็นช่อกระจาย ช่อดอกย่อยมีก้านออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ
- ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ
- ใบ : ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
- ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
- ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญแต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย
แมงลัก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L.f. var. citratum Back.
ชื่อสามัญ : Hairy Basil
วงศ์ : Labiatae
ชื่ออื่น : มังลัก (ภาคกลาง) กอมก้อขาว (ภาคเหนือ) ผักอีตู่ (เลย)
ลักษณะทั่วไป
- แมงลักมีลักษณะทรงต้น ใบ ดอก และผลคล้ายโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบสีเขียวอ่อนกว่า กลีบดอกสีขาวและใบประดับสีเขียว
- ต้น : เป็นไม้ล้มลุก ขนาดเล็ก ลำต้นสูงประมาณ 2-3 ฟุต โคนลำต้นแข็ง ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม
- ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบกลมรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวอ่อน มีขนนิ่ม กลิ่นใบหอม
- ดอก : ออกเป็นช่อ ตามบริเวณปลายกิ่ง หรือยอด ดอกมีลักษณะเป็นกลีบสีขาว ดอกจะคงทน และอยู่ได้นาน
- ผล : เมื่อกลีบดอกร่วง ก็จะเป็นผล ผลมีขนานเล็ก มีสีน้ำตาลเข้ม ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เมล็ด
สรรพคุณ
- ลำต้น : ตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ และแก้โรคทางเดินท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิดใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ไอ ขับเหงื่อ ขับลม กระตุ้น และแก้โรคทางเดินอาหาร เป็นต้น
- ใบ : ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยา แก้ไอ ขับเหงื่อ ขับลม กระตุ้น และแก้โรคทางเดินอาหาร ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด
- เมล็ด : ใช้เมล็ดแห้ง เมื่อนำมาแช่น้ำจะเกิดการพองตัวแล้วใช้กินเป็นยาระบาย ลดความอ้วน ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ขับเหงื่อ และช่วยเพิ่มปริมาณ ของอุจจาระเป็นเมือกกลืนในลำไส้